วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

แหล่งท่องเที่ยว



แหล่งท่องเที่ยว


อนุสาวรีย์พ่อขุนงำเมือง
อนุสาวรีย์พ่อขุนงำเมือง

อดีตกษัตริย์ผู้ปกครองเมืองภูกามยาวลำดับที่ 9 ระหว่างปี พ.ศ. 1801-1841 เป็นยุคที่เจริญรุ่งเรืองมากประดิษฐานอยู่ที่สวนสาธารณะเทศบาลเมืองพะเยา (สวนสมเด็จย่า 90) หน้ากว๊านพะเยาเป็นพระสหายร่วมน้ำสาบานกับพ่อขุนเม็งรายแห่งเมืองเชียงรายและพ่อขุนรามคำแหงแห่งกรุงสุโขทัย ซึ่งทั้งสามพระองค์ได้กระทำสัตย์ต่อกัน ณ บริเวณแม่น้ำอิง ซึ่งปัจจุบันอยู่บริเวณสถานีประมงน้ำจืดพะเยา พ่อขุนงำเมืองเป็นผู้ทรงอิทธิฤทธิ์กล่าวกันว่าเมื่อพระองค์เสด็จไปทางไหน "แดดก็บ่อฮ้อน ฝนก็บ่อฮำจักให้แดดก็แดด จักให้บดก็บด" จึงได้พระนามว่างำเมือง

กว๊านพะเยา
เกิดจาการยุบตัวของเปลือกโลกเมื่อประมาณ 70 ล้านปีมาแล้วเป็นแอ่งน้ำซึ่งเป็นที่รวบรวมของลำห้วยต่างๆ 18 สาย ต่อมาในปี 2478 กรมประมงได้ตั้งสถานีประมงน้ำจืดจังหวัดพะเยาขึ้น บริเวณ ต้นแม่น้ำอิงและสร้างฝายกั้นน้ำทำให้เกิดเป็นบึงขนาดใหญ่ มีความลึกเฉลี่ย 1.5 เมตร คำว่า "บึง" ภาษาพื้นเมือง เรียกว่า "กว๊าน"
 กว๊านพะเยาเป็นแหล่งน้ำที่สำคัญที่สุดของจังหวัดพะเยา คือเป็นทั้งแหล่งประมงน้ำจืดที่สำคัญที่สุดของภาคเหนือตอนบน และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดพะเยา มีเนื้อที่ประมาณ 12,831 ไร่ เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาชนิดต่างๆ เช่น ปลากราย ปลาสวาย ปลาเทโพ ปลาจีน ปลาไน รวมทั้งปลานิล อันลือชื่อของจังหวัดพะเยา ทัศนียภาพโดยรอบกว๊านพะเยา มีความร่มรื่น สามารถมองเห็นแนวทิวเขาสลับซับซ้อน งดงามมาก บริเวณริมกว๊านมีร้านอาหารและจัดเป็นสวนสาธารณะเหมาะที่จะไปนั่งเล่น พักผ่อนหย่อนใจในยามเย็น ชมพระอาทิตย์ตกริมกว๊านเป็นภาพที่สวยงามมาก



ตั้งอยู่ตรงถนนพหลโยธินระหว่างหลักกม.ที่ 734-735 เป็นสถานีเพาะพันธุ์ปลาน้ำจืด ปลาที่เพาะพันธุ์เพื่อแจกจ่ายแก่เกษตรกรได้แก่ ปลานิล ปลาไน ปลาตะเพียนขาว ปลายี่สกเทศ ฯลฯ และสามารถเพาะพันธุ์ปลาบึกได้สำเร็จเพื่อนำไปปล่อยในแหล่งน้ำต่างๆ สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ห้องจัดแสดงพันธุ์ปลาสวยงามที่หาดูยากไว้หลายชนิด เปิดให้ชมในวันเวลาราชการ และยังมีเรือนประทับสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเมื่อครั้งเสด็จมาทรงงานที่จังหวัดพะเยาอยู่ในบริเวณเดียวกัน บริเวณรอบตำหนักจะมีดอกไม้เมืองหนาวนานาพันธุ์ สระน้ำพุอันสวยงาม ตั้งอยู่บริเวณสถานีประมงพะเยา


อยู่ใกล้กับวัดศรีโคมคำ จัดเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงโบราณวัตถุ เอกสารข้อมูลสำคัญทางประวัติศาสตร์ของจังหวัดพะเยา และเรื่องราวความเป็นมาทั้งด้านวรรณกรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น วัฒนธรรมประเพณี และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวพะเยาโดยใช้รูปแบบเทคโนโลยีสมัยใหม่ เปิดให้เข้าชมใน
วันพุธ-อาทิตย์ เวลา 09.00-16.00 น.



วัดศรีโคมคำ ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองพะเยา ถนนพหลโยธิน ห่างจากตัวเมืองไปทางเหนือประมาณ ๑,๐๐๐ เมตร ด้านทิศใต้ -  ทิศตะวันตก  ติดกับกว๊านพะเยา   ทิศเหนือ – ตะวันออก ติดกับถนนพหลโยธิน เริ่มก่อสร้างองค์พระประธาน (พระเจ้าตนหลวง) เมื่อ  พ.ศ. ๒๐๓๔ มาสำเร็จบริบูรณ์เมื่อ พ.ศ.  ๒๐๖๗ ประมาณ ๓๓ ปี จัดเป็นวัดโดยสมบูรณ์ การก่อสร้างในสมัยนั้น พระเมืองตู้ เจ้าผู้ครองเมืองพะเยาผู้ทรงอุปถัมภ์

    ในกาลต่อมาหัวเมืองต่าง ๆ ของล้านนาไทยหลายหัวเมืองถูกข้าศึกพม่าเข้ารุกราน  ทำให้ประชาชนสูญเสียทรัพย์สินแก่ข้าศึก  แม้ทรัพย์สินของพระ ศาสนาก็ต้องทอดทิ้งปล่อยให้ปรักหักพัง  บ้านเมืองรกร้างว่างเปล่าอยู่ประมาณ ๕๖ ปี ถึง พ.ศ. ๒๓๘๗ ทรงโปรดเกล้าแต่งตั้งนายพุทธวงศ์   เมืองลำปาง  เป็นพระยาประเทศอุดรทิศ  ขึ้นมาครองเมืองพะเยา ทรงตั้งนายมหายศ เป็นพระยาอุปราช  ครั้นพระยาประเทศอุดรทิศถึงแก่อนิจกรรมไปทรง  โปรดเกล้าฯ  นายมหายศขึ้นครองเมืองพะเยาแทน ทรงตั้งเจ้าบุรีรัตน์ขั้นเป็นพระยาอุปราชแทน  ท่านทั้งสองได้เริ่มบูรณะองค์พระประธาน และบูรณะวัด  ศรีโคมคำขึ้นใหม่  เริ่มก่อสร้างพระวิหารและเสนาสนะขึ้นมีสภาพเป็นวัดสมบูรณ์  ต่อจากนั้นเจ้าผู้ครองเมืองพะเยาอีกพะเยาอีกหลายองค์ เช่น เจ้าหลวง อินทะชมพู เจ้าหลวงขัตติยะ เจ้าหลวงชัยวงศ์  จนถึงองค์สุดท้าย คือ พระยาประเทศอุดรทิศ (มหาชัย ศีติสาร) ครองเมืองพะเยา ทุกองค์ได้บูรณะปฏิสังขรณ์วัดศรีโคมคำ

    พระวิหารหลังเก่าสร้างมานานชำรุดทรุดโทรม พระยาประเทศอุดรทิศทรงรื้อแล้วก่อสร้างใหม่ โดยนายพัฒน์เป็นช่างก่อสร้างก่อสร้างเป็นเวลานานไม่เสร็จนายช่างพัฒน์มาถึงแก่กรรมไป จึงทอดทิ้งไว้  ครั้นต่อมาการปกครองบ้านเมืองได้เปลี่ยนแปลงจากเจ้าผู้ครองเมืองมาเป็นระบบการปกครองเป็นมณฑล เรียกมณฑลพายัพ  กระจายอำนาจการบริหารออกเป็นจังหวัด อำเภอ  ตำบลหมู่บ้าน ตำแหน่งเจ้าผู้ครองก็เลิกร้างไป พระยาประเทศอุดรทิศกราบบังคมลาออกจากตำแหน่งทางการ จึงตั้งนายคลาย  บุษยบรรณ มาเป็นนายอำเภอเมืองพะเยา ในสมัยนั้นพระยาประเทศอุดรทิศแม้พ้นจากตำแหน่งแล้วก็ยังให้การอุปถัมภ์วัดศรีโคมคำเช่นเดิม มิได้ทรงทอดทิ้ง

    ขณะนั้นได้ทราบกิตติศัพท์ว่า ครูบาพระศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาไทยเกิดขึ้น ท่านสังกัดอยู่วัดบ้านปาง อำเภอลี้ จังหวัดลำพูนท่านมีบารมีธรรมสูง  ทำการสร้างและบูรณปฏิสังขรณ์โบราณวัตถุสถาน  ในเขตท้องที่จังหวัดลำพูน -  เชียงใหม่  มีประชาชนเลื่อมใสมาก ข่าวนี้ได้แพร่สะพัดทั่วไปในแถบ ล้านนาไทย  จึงได้ประชุมปรึกษากัน ทางฝ่ายคณะสงฆ์มีพระครูศรีวิราชวชิรปัญญาเจ้าคณะแขวงเมืองพะเยาเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ทางฝ่ายบ้านเมืองมีพระยาประเทศอุดรทิศ อดีตเจ้าผู้ครองเมือง และนายคลาย  บุษยบรรณ  นายอำเภอเมืองพะเยา พร้อมด้วยพ่อค้า คหบดีประชาชนต่างก็มีความเห็นชอบพร้อมเพรียงกัน จังไปอาราธราครูบาศรีวิชัยมาเป็นประธานก่อสร้างพระวิหารวัดศรีโคมคำ โดยใช้ให้พระปัญญา วัดบ้านปิน  และจ่าสิบตำรวจเอกอ้าย  พูนชัยไป อาราธนานิมนต์ท่านมาสร้างพระวิหาร ท่านสอบถามถึงประวัติความเป็นมาของพระเจ้าตนหลวงว่าเป็นมาอย่างไร เมื่อได้รับทราบตำนานว่าเป็นโบราณ    วัตถุอันเก่าแก่มีกลักฐานแน่นอน ท่านจึงรับว่าจะมานร้าง แต่มีเงื่อนไขว่า ให้คณะสงฆ์และประชาชนชาวพะเยาเตรียมวัสดุไว้ให้พร้อม อาทิ  อิฐ ปูน ทราย  หิน  เหล็ก  ไว้ให้พร้อม

    พระครูศรีวิราชวชิรปัญญา เจ้าคณะแขวงเมืองพะเยา จึงได้ประชุมปรึกษาคณะสงฆ์  เจ้าคณะหมวด เจ้าอาวาส  ภิกษุสามเณรทุกวัดวาอาราม  เข้ามาตั้งปางกระท่อม ปั้นอิฐก็ได้ประมาณ ๒๐๐,๐๐๐  ก้อน  ทราย  หิน  โดยขอความร่วมมือผู้มีกำลังต่างก็หามาไว้จนครบถ้วนแล้วไปอาราธนาท่านอีกครั้งหนึ่ง     เมื่อวัสดุอุปกรณ์ครบถ้วยแล้ว   ท่านรับนิมนต์ทันทีแล้วเตรียมเอาพระภิกษุผู้ชำนาญการกรอสร้างมาเป็น บริวาร  ออกเดินทางมาจากจังหวัดลำพูนตาม ลำดับเส้นทางจนถึงเมืองพะเยา เมื่อวันที่ ๒๕  ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๕  ตรงกับวันขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๔ เหนือ

    วันที ๒๘  ธันวาคมพ.ศ. ๒๔๖๕  ขึ้น ๑๑ ค่ำ  เริ่มลงมือรื้อพระวิหารหลังเก่าจนเสร็จเรียบร้อย

    วันเสาร์ที่ ๖ มกราคมพ.ศ. ๒๔๖๖ ตรงกับวัน ๗ ฯ ๒ ค่ำ ปี จอ จุลศักราช๑๒๔๘  วางศิลาฤกษ์ ลงเสาพระวิหารใหญ่ต่อจากนั้นก็เทเสราพระวิหารต้นอื่น  ต่อไป ขุดรากฝาผนัง ก่อฝาผนัง และก่อกำแพงล้อมรอบ สร้างศาลาบาตร (ศาลาราย)  รอบกำแพงวัดสร้างพระอุโบสถ พระวิหาร พระพุทธบาทจำลอง    สร้างพร้อมกันทั้งหมดทุก ๆ หลังในคราวเดียวกัน  และก่อสร้างภายในปีเดียวเหมือนเนรมิต คิดค่าก่อสร้างเป็นจำนวน ๑๑๓,๐๐๐  รูปี  (รูปีหนึ่งคิดราคา  ๗๕ สตางค์)

    ครั้นวันที่ -  มีนาคม  พ.ศ. ๒๔๖๗  ทำบุญฉลองพระวิหารพร้อมกับศาสนาวัตถุอื่น ๆ ที่ก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงทำบุญฉลองพระวิหารนานประมาณ ๑ เดือน  จึงแล้วเสร็จ หลังจากทำบุญฉลองแล้วครูบาพระศรีวิชัยก็กลับไปจังหวัดเชียงใหม่เริ่มสร้างวิหารวัดสวนดอก  จังหวัดเชียงใหม่  จึงได้มอบหมายให้พระครูบาแก้ว  คนฺธวํโส เป็นผู้รับภาระธุรการดูแลรักษาโบราณวัตถุและพระวิหารแทน

    วัดศรีโคมคำ ได้สร้างมานานประมาณ พ.ศ. ๒๐๓๔  ตั้งแต่เริ่มสร้างพระเจ้าตนหลวงมาแล้ว เจ้าอาวาสองค์แรกที่ปรากฏในตำนานคือพระธรรมปาล  ท่านผู้นี้ได้ทำประโยชน์อันยิ่งใหญ่ คือได้เขียนตำนานพระเจ้าตนหลวงออกเผยแพร่แก่ประชาชนที่หนีภัยสงครามแล้วกลับเข้ามาสู่เมืองพะเยา ภายหลังได้    ทราบเรื่องราวตำนานนี้แล้วก็เกิดศรัทธาปสาทะยิ่งใหญ่ อยู่ต่อมาอีกประมาณ ๔๐๔  ปี จุลศักราช ๑๒๑๙  พ.ศ. ๒๔๐๐  พระกัปปินะเป็นเจ้าอาวาสอักครั้งหนึ่ง มีบันทึกในหนังสือสมุดข่อย บันทึกไว้ว่า แสนทักขิณะ เขียน ดวงชาตาพระเจ้าตนหลวง  มีพระธรรมปาละ เขียนไว้ให้ท่านได้รับทราบ  แสดงว่าวัดศรี  โคมคำเป็นวัดมาแต่โบราณกาล  แต่มาในยุคหลังบ้านเมืองตกอยูู่ในช่วงสงคราม จึงโยกย้ายไปอยู่ตามหัวเมืองที่ปลอดภัยจากข้าศึก ทำให้บ้านเมือง  วัดวาอารามรกร้างว่างเปล่าไป  ต่อมาภายหลังได้สถาปนาเมืองพะเยาขึ้น บ้านเมือง วัดวาอารามก็ถูกบูรณะก่อสร้างขึ้นโดยลำดับ

    วัดศรีโคมคำ เริ่มก่อสร้างขึ้นหลังสุดเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๕  พระครูศรีวิราชปัญญา เจ้าคณะแขวงเมืองพะเยาเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ทางฝ่ายบ้านเมือง  อดีตเจ้าผู้ครองเมืองพะเยา  พระยาประเทศอุดรทิศ  และอดีตนายอำเภอเมือพะเยา  คือ หลวงสิทธิประสาสน์ (นายคลาย  บุษยบรรณ)  นายอำเภอเมืองพะเยาคนแรก ได้ร่วมใจกันอาราธนานิมนต์พระครูบาศรีวิชัย  จังหวัดลำพูน มาเป็นประธานนั่งหนักในการก่อสร้างเสนาสนะต่าง ๆ จนสำเร็จบริบูรณ์ดังได้กล่าวมาข้างต้นแล้ว ท่านก็มาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดศรีโคมคำ ลำดับเจ้าอาวาสมีดังนี้

    พ.ศ. ๒๔๖๕ -  ๒๔๖๗  พระครูศรีวิราชวชิรปัญญา เจ้าคณะแขวงเมืองพะเยาเป็นเจ้าอาวาส

    พ.ศ. ๒๔๘๘  -  ๒๕๐๖  ครูบาปัญญา   ปญฺโญ  เป็นเจ้าอาวาส

    พ.ศ. ๒๕๐๖ – ๒๕๐๙  ครูบาแก้ว  คนฺธวํโส  เป็นเจ้าอาวาส

    พ.ศ. ๒๕๐๙  พระโสภณธรรมมุนี เจ้าคณะอำเภอเมืองพะเยา  ( พระธรรมวิมลโมลี)เป็นผู้รักษาการในตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดศรีโคมคำ และได้รับแต่งตั้ง เป็นเจ้าอาวาส  เมื่อวันที่ ๒๕  พฤษภาคม  พุทธศักราช ๒๕๑๑  จนถึงปัจจุบัน



ศาลหลักเมืองพะเยา มีถนนล้อมรอบทั้งสี่ด้าน ตั้งอยู่ริมถนนท่ากว๊าน อยู่ใกล้กันกับวัดศรีอุโมงค์คำ และอีกด้านเป็นวัดราชคฤห์ จากถนนประตูชัยเลี้ยวซ้ายไปจรดถนนท่ากว๊าน สามารถเห็นศาลหลักเมืองได้อย่างชัดเจน ศาลหลักเมืองพะเยามีความสวยงามทั้งกลางคืนและกลางวัน



จุดชมวิวกว๊านพะเยา มีความสูงประมาณ 25 เมตร บนยอดเขาฝั่งต้าแห่งนี้ยังเป็นจุดชมวิวและยังสามารถพักผ่อนได้ สามารถชมวิวได้ถึง 360 องศา โดยได้เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการในวันที่ 18 ตุลาคม 2556 ถือว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งที่สามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้สัญจรไปมา



วัดศรีอุโมงค์คำ หรือ วัดอุโมคำ ตั้งอยู่เลขที่ ๓ บ้านท่ากว๊าน ตำบลเวียง อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา มีที่ดินตั้งวัดเนื้อที่ ๖ ไร่ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตามประวัติวัดที่ปรากฏในหนังสือประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร กล่าวว่า วัดศรีอุโมงค์คำสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๙ เดิมชาวบ้านเรียกว่า วัดสูง ต่อมาได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๘ มีเขตวิสุงคามสีมา กว้าง ๑๒ เมตร ยาว ๒๖ เมตร อาคารเสนาสนะของวัดศรีอุโมงค์คำ ประกอบด้วยอุโบสถ ศาลาการเปรียญ วิหาร และกุฏิสงฆ์ ปูชนียวัตถุ คือ เจดีย์บรรจุพระบรมธาตุอันเป็นเจดีย์สมัยเชียงแสนซึ่งสภาพยังสมบูรณ์อยู่ และพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองซึ่งขาวพะเยาเรียกกันว่า “ พระเจ้าล้านตื้อ ” ซึ่งชี่อทางการของพระพุทธรูปองค์นี้คือ “ หลวงพ่องามเมืองเรืองฤทธิ์ ” แม้หลักฐานการสร้างจะไม่ปรากฏชัดเจนแต่ประมาณว่ามีอายุเก่าแก่ถึง ๕๐๐ ปีมาแล้ว พระเจ้าล้านตื้อของวัดศรีอุโมงค์คำ มีประวัติเล่าว่าแต่เดิมถูกทิ้งให้ปรักหักพังที่สนามเวียงแก้ว ต่อมาเจ้าเมืองพะเยาได้บูรณะแล้วนำมาประดิษฐานที่วัดนี้ บ้างก็กล่าวว่าแต่เดิมประดิษฐานอยู่ ณ วัดศรีจอมเรือง สำหรับพุทธลักษณะของพระพุทธรูปองค์นี้ จัดว่างดงามมากและมีเอกลักษณ์ทางศิลปะของภูกามยาวโดยเฉพาะ นอกเหนือจากพระพุทธรูปองค์สำคัญของวัดที่ได้กล่าวไว้แล้วข้างต้น วัดศรีอุโมงค์ยังมีพระพุทธรูปต่างๆ ดังนี้ คือ พระพุทธรูปหินทรายปางมารวิชัย (หลวงพ่อทันใจ) ซึ่งมีอายุอยู่ในราวปลายศตวรรษที่ ๒๑ ขนาดหน้าตักกว้าง ๑๖๐ เซนติเมตร สูง ๒๑๕ เซนติเมตร พระพุทธรูปหินทรายปางมารวิชัย (พระแข้งคม) มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑ มีนาดหน้าตุกกว้าง ๑๓๐ เซนติเมตร สูง ๑๙๐ เซนติเมตร เป็นต้น อนึ่ง ในหนังสือ เมืองพะเยา ได้กล่าวถึงวิหารหลังเก่าของวัดศรีอุโมงค์คำว่า ในปีจุลศักราช ๑๒๓๗ สัปตศก พุทธศักราช ๒๔๑๘ เจ้าหลวงอริยะซึ่งลงไปรับสัญญาบัตรกลับมาครองเมืองพะเยาได้ก่อสร้างวิหารของวัดนี้ขึ้น แต่ภายหลังถูกรื้อออกไป สันนิษฐานว่าอาจเป็นวิหารหลังที่เหลือร่องรอยเพียงฐานของวิหารและได้รับการขึ้นทะเบียนจากกรมศิลปากรดังที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ก็เป็นได้ สิ่งสำคัญของวัดที่ได้รับการขึ้นทะเบียน คือฐานวิหารเก่า ซึ่งไม่ปรากฏหลักฐานการก่อสร้างนี้แน่ชัด ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๕๒ ตอนที่ ๗๕ ลงวันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ปัจจุบัน วัดศรีอุโมงค์คำมีความสำคัญในฐานะที่เปิดสอนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกธรรมมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๘ นอกจากนี้ยังมีโรงเรียนราษฎร์ของวัด ห้องสมุดประจำวัด และเปิดศูนย์ฝึกอาชีพให้ประชาชนโดยทั่วไป




แหล่งที่มา:http://place.thai-tour.com/phayao/mueangphayao
แหล่งที่มาวีดีโอ:https://goo.gl/fz7Mas

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น